เมนู

อรรถกถาธรรมิกสูตรที่ 14


ธรรมิกสูตรมีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
ถามว่า มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า มีการเกิดขึ้นดังต่อไปนี้ :-
มีเรื่องเล่าว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของโลกยังทรงดำรง
อยู่ ได้มีอุบาสกชื่อธรรมิกะ โดยชื่อ และโดยการปฏิบัติ. นัยว่า ธรรมิก-
อุบาสกนั้น เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นพหูสูต
ทรงพระไตรปิฎก เป็นอนาคามี ได้อภิญญา ได้เที่ยวไปทางอากาศ. ธรรมิก-
อุบาสกนั้นมีอุบาสก 500 เป็นบริวาร อุบาสกแม้เหล่านั้น ก็ได้เป็นเช่นนั้น
เหมือนกัน.
วันหนึ่ง ธรรมิกอุบาสกรักษาอุโบสถแล้วไปในที่ลับ หลีกเร้นอยู่ ใน
ตอนสุดท้ายของมัชฌิมยาม ได้เกิดปริวิตกอย่างนี้ว่า อย่ากระนั้นเลย เราควร
จะทูลถามข้อปฏิบัติของผู้ครองเรือนและของนักบวช. เขาแวดล้อมด้วยอุบาสก
500 เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลถามความนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงตอบปัญหาแก่เขา.
ในบทเหล่านั้นพึงทราบบทที่พรรณนาไว้ในคราวก่อน โดยนัยที่กล่าว
แล้วนั่นแล ข้าพเจ้าจักพรรณนาบทที่ยังไม่เคยกล่าวไว้.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่หนึ่งก่อน. บทว่า กถํกโร คือ กระทำ
อย่างไร ปฏิบัติอย่างไร. บทว่า สาธุ โหติ ได้เเก่ เป็นผู้ดี เป็นผู้ไม่มีโทษ
เป็นผู้ยังประโยชน์ให้สำเร็จ. เป็นอันท่านกล่าวว่า อุบาสกทั้งนั้น ด้วยบทว่า

อุปาสกาเส ดังนี้. บทที่เหลือ โดยความชัดเจนแล้ว แต่โยชนาแก้ว่า บรรดา
สาวกสองจำพวก คือ สาวกผู้ออกจากเรือนมิได้ครองเรือน คือ บวชก็ดี สาวก
ผู้ครองเรือนเป็นอุบาสกก็ดี สาวกกระทำอย่างไรจึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จ.
บัดนี้ ธรรมิกอุบาสกเมื่อจะแสดงถึงความสามารถของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าที่ถูกถามปัญหาอย่างนี้แล้วจะทรงแก้ได้ จึงกล่าวสองคาถาว่า ตุวํ หิ
เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า คตึ ได้แก่ คติที่เป็นอัธยาศัย. บทว่า
ปรายนํ ได้แก่ ความสำเร็จ. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า คตึ ได้แก่ ประเภท
ของคติ 5 มีนรกเป็นต้น. บทว่า ปรายนํ ได้แก่ การออกไปจากคติ การ
พ้นจากคติ คือปรินิพพาน. บทว่า น จตฺถิ ตุลฺโย ได้แก่ คนเช่นกับพระองค์
ไม่มี. บทว่า สพฺพํ ตุวํ ญฺาณมเวจฺจ ธมฺมํ ปกาเสสิ สตฺเต อนุกมฺปมาโน
ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงแทงตลอดไญยธรรมไม่มีเหลือ
ทรงอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลาย ทรงประกาศญาณและธรรมทั้งปวง คือทรงทำ
ให้แจ้ง ทรงชี้แจงสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลเท่านั้น ท่านอธิบายว่า การปกปิด
การสอนของอาจารย์ย่อมไม่มีแก่ท่าน. บทว่า วิโรจสิ วิมโล ความว่า
พระองค์ปราศจากมลทิน ไพโรจน์เพราะไม่มีมลทินมีราคะเป็นต้น ดุจ
พระจันทร์เว้นจากหมอกและธุลีเป็นต้น บทที่เหลือในคาถานี้มีความง่ายทั้งนั้น.
บัดนี้ ธรรมิกอุบาสกเมื่อจะประกาศชื่อเทพบุตรที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงธรรมเหล่านั้นในครั้งนั้น และเมื่อจะสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงกล่าวสองคาถาว่า อคจฺฉิ เต สนฺติเก ได้ไปในสำนักของพระองค์ดังนี้
เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้นบทว่า นาคราชา เอราวโณ นาม ความว่า ได้ยิน
ว่าเทพบุตรนี้ชื่อว่า เอราวัณ มีรูปเป็นเทพบนสวรรค์ สถิตอยู่ในวิมานทิพย์.
เทพบุตรนั้นในเวลาที่ท้าวสักกะเสด็จชมพระอุทยาน ได้เนรมิตกาย 150 โยชน์
เนรมิตกระพอง 33 กระพอง เป็นช้างเอราวัณ. บนกระพองหนึ่ง ๆ มีงากระ
พองละ 2 งา บนงาหนึ่ง ๆ มีสระโบกขรณีงาละ 7 สระ. บนสระโบกขรณีสระ-
หนึ่ง ๆ มีสระบัวละ 7 สระ. สระบัวสระหนึ่ง ๆ มีดอกบัวสระละ 7 ดอก.
บนดอกบัวดอกหนึ่ง ๆ มีดอกละ 7 กลีบ. บนกลีบหนึ่ง ๆ มีนางอัปสรกลีบละ
7 นาง ปรากฏชื่อว่าปทุมอัปสรทั้งนั้นฟ้อนรำอยู่. นางฟ้อนของท้าวสักกะมีมา
แล้วในวิมานวัตถุว่า นางอัปสรได้ศึกษาเป็นอย่างดีหมุนตัวบนดอกปทุม. ใน
ท่ามกลางกระพอง 33 กระพองเหล่านั้น มีกระพองชื่อสุทัสสนะประมาณ 30
โยชน์. ที่กระพองสุทัสสนะนั้นมีบัลลังก์แก้วมณีประมาณโยชน์หนึ่งลาดไปบน
มณฑปดอกบัวสูง 3 โยชน์ อันเป็นสถานที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพแวดล้อมด้วย
หมู่นางอัปสรเสวยทิพยสมบัติ. ครั้นเมื่อท้าวสักกะจอมเทพเสด็จกลับจากการ
ชมอุทยาน ช้างเอราวัณก็กลายรูปนั้นเป็นเทพบุตรอย่างเดิม. ธรรมิกอุบาสก
กล่าวว่า พญาช้างชื่อเอราวัณได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ทรงชนะบาปกรรม
แล้วดังนี้จึงได้ไปในสำนักของพระองค์ หมายถึงเทพบุตรนั้น. บทว่า โสปิ
ตยา มนฺตยิตฺวา
ได้แก่เทพบุตรนั้นก็ปรึกษากับพระองค์ อธิบายว่าถามปัญหา.
บทว่า อชฺฌคมา คือ ได้บรรลุแล้ว. บทว่า สาธูติ สุตฺวาน ปตีตรูโป
ความว่า เทพบุตรสดับปัญหานั้นแล้วซ้องสาธุการชื่นชมยินดีกลับไป.
ในบทว่า ราชาปิ ตํ เวสฺสวโณ กุเวโร นี้มีอธิบายว่า ยักษ์
นั้นชื่อว่าเป็นพระราชาเพราะอรรถว่าเป็นที่ยินดี ชื่อว่า เวสวัณ เพราะครอง

ราชสมบัติในวิสาณราชธานี. พึงทราบว่า ชื่อว่ากุเวรตามชื่อเดิม. ได้ยินมาว่า
ยักษ์ชื่อกุเวรนั้นเป็นพราหมณ์มหาศาล ทำบุญมีทานเป็นต้น เกิดเป็นใหญ่ใน
วิสาณราชธานี เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า กุเวร. ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอาฏานาฏิย-
สูตรว่า
กุเวรสฺส โข ปน มาริสา มหาราชสฺส วิสาณา นาม ราชธานี
ตสฺมา กุเวโร มหาราชา เวสฺสวโณติ ปวุจฺจติ.

ความว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ราชธานีชื่อว่าวิสาณะเป็นของท้าวกุเวร
มหาราช เพราะฉะนั้น ท้าวกุเวรมหาราชจึงมีชื่อว่า เวสวัณ. บทที่เหลือในสูตร
นี้ความชัดดีแล้ว. ในเรื่องนั้นพึงมีข้อควรวินิจฉัยดังนี้ ก็เพราะเหตุไร เอราวัณ
เทพบุตรอยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งไกลกว่าจึงมาถึงก่อน เวสวัณเทพบุตรมา
ภายหลัง และอุบาสกนี้ก็อยู่ในนครเดียวกันมาทีหลังเขาทั้งหมด ก็อุบาสกนั้นได้
รู้การมาของเทวดาเหล่านั้นได้อย่างไร จะได้กล่าวให้ทราบต่อไป.
ได้ยินว่า ในครั้งนั้นเวสวัณเทพบุตรขึ้นบัลลังก์แก้วประพาฬตั้งหลาย
พัน มีนารีเป็นพาหนะถึง 2 โยชน์ อันยักษ์หมื่นโกฏิชูกระบองแก้วประพาฬ
แวดล้อม ดำริว่า จักทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงบังคับวิมานซึ่ง
ตั้งอยู่บนอากาศ ลงมาตามถนนพื้นดิน บรรลุถึงส่วนบนของที่อยู่ของนันทมาตา
อุบาสิกา ในเวฬุกัณฑกนคร. นี่เป็นอานุภาพของอุบาสิกา. อุบาสิกาเป็นผู้มี
ศีลบริสุทธิ์ เว้นบริโภคอาหารในเวลาวิกาลเป็นนิจ ทรงพระไตรปิฎก ตั้งอยู่ใน
อนาคามิผล. ขณะนั้นนางแง้มหน้าต่างยืนอยู่ใกล้ช่องลมผ่านเพื่อรับอากาศเเล้ว
สาธยายปารายนวรรค ในอัฏฐกนิบาตด้วยเสียงอันไพเราะด้วยบทและพยัญชนะ

อันกลมกล่อม. เวสวัณเทพบุตรหยุดยาน ณ ที่นั้นเองได้ยินเสียงทั้งหมด ตั้งแต่
อุบาสิกาได้สาธยายบทสรุปว่า อิทมโวจ ภควา มคเธสุ วิหรนฺโต ปาสาณเก
เจติเย ปริจารกโสฬสนฺนํ พฺราหฺมณานํ
ความว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ ณ ปาสาณกเจดีย์ใกล้แคว้นมคธได้ตรัสพระสูตรนี้แก่พราหมณ์ผู้เป็น
อุปัฏฐาก 16 คน เมื่อจบวรรคสุดท้ายได้ประคองอัญชลีเช่นกับกลองทองซ้อง
สาธุการว่า สาธุ สาธุ น้องหญิง. นางถามว่าใครอยู่ที่นั้น. เวสวัณเทพบุตร
ตอบว่า เรา เวสวัณเทพบุตร น้องหญิง. นัยว่าอุบาสิกาได้เป็นโสดาบันก่อน
เวสวัณได้เป็นภายหลัง. เวสวัณเทพบุตรนั้นร้องเรียกอุบาสิกานั้นด้วยวาทะว่า
น้องหญิง หมายถึงความเป็นผู้ร่วมต้องกันมา. โดยธรรมดา อุบาสิกากล่าวว่า พี่
ชายผู้มีหน้าอันเจริญ บัดนี้ถึงเวลาแล้ว. เวสวัณกล่าวว่า น้องหญิง เราเลื่อมใส
ท่าน เราขอแสดงอาการเลื่อมใสท่าน. อุบาสิกากล่าวว่า ท่านผู้มีหน้าอันเจริญ
ถ้าเช่นนั้น พวกกรรมกรไม่สามารถนำข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวได้แล้วมาได้ ขอให้
ท่านสั่งบริษัทของท่านให้นำมาเถิด. เวสวัณรับว่า ดีแล้วน้องหญิง จึงสั่งพวก
ยักษ์. พวกยักษ์นำข้าวสาลีใส่ฉาง 1,350 ฉางจนเต็ม. ตั้งแต่นั้นมาฉางก็มิได้
พร่องเลย. จึงได้เป็นแบบอย่างขึ้นในโลกว่า เหมือนฉางของนันทมารดา. เวส-
วัณเทพบุตรใส่ข้าวสาลีจนเต็มฉาง แล้วก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสว่า ท่านมาผิดเวลา จึงกราบทูลเรื่องทั้งหมดให้ทรงทราบ ด้วย
เหตุนี้ เวสวัณเทพบุตรอยู่ในภพจาตุมมหาราชิกาแม้ใกล้ จึงมาถึงภายหลัง ส่วน
เอราวัณเทพบุตรไม่มีกิจไร ๆ ที่จะต้องทำในระหว่าง ฉะนั้นเอราวัณเทพบุตร
จึงมาก่อน ส่วนอุบาสกนี้เป็นอนาคามี ตามปรกติบริโภคอาหารมื้อเดียวก็จริง
ถึงดังนั้นขณะนั้นเป็นวันอุโบสถ เขาจึงต้องอธิษฐานองค์อุโบสถตอนเย็นนุ่งห่ม

ผ้าอย่างดี แวดล้อมด้วยอุบาสก 500 ไปยังพระเชตวันสดับพระธรรมเทศนาแล้ว
มาเรือนของตน บอกธรรมของอุบาสกมีสรณะ ศีล และอานิสงส์ของอุโบสถ
เป็นต้น ของตนแก่อุบาสกเหล่านั้นแล้วจึงกลับ ที่เรือนของอุบาสกเหล่านั้นและ
ของธรรมิกอุบาสก มีเตียงที่เป็นกัปปิยยะ 500 เตียง มีเท้าประมาณศอกกำตั้ง
ไว้ในห้องเฉพาะตน, อุบาสกเหล่านั้นเข้าห้องของตน ๆ นั่งเข้าสมาบัติ แม้
ธรรมิกอุบาสกก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน ก็สมัยนั้นในกรุงสาวัตถีมีตระกูล
ห้าล้านเจ็ดแสนอาศัยอยู่ เมื่อนับจำนวนคนก็มี 18 โกฏิ ด้วยเหตุนั้นใน
ปฐมยาม กรุงสาวัตถีมีเสียงช้างม้าคนและกลองเป็นต้น เป็นเสียงเดียวกันดุจ
มหาสมุทร ในระหว่างมัชฌิมยาม เสียงนั้นก็สงบลง ในกาลนั้น อุบาสกออก
จากสมาบัติ รำลึกถึงคุณความดีของตนแล้วคิดว่า เราอยู่เป็นสุขด้วยมรรคสุข
ผสสุขอันใด สุขนี้เราได้เพราะอาศัยใคร รู้ว่าเพราะอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
มีจิตเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้า รำพึงต่อไปว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ที่ไหน เห็นเอราวัณเทพบุตรและเวสวัณเทพบุตร ด้วยทิพยจักษุ
แล้วฟังพระธรรมเทศนาด้วยทิพยโสต ทราบว่าเทพบุตรทั้งสองเหล่านั้นมีจิต
เลื่อมใส ด้วยเจโตปริยญาณ จึงคิดว่า ถ้ากระไรแม้เราก็ควรจะถามปฏิปทา
อันเป็นประโยชน์ทั้งสองกะพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น อุบาสกนั้นแม้อยู่
ในนครเดียวกันก็มาถึงทีหลัง ทั้งได้รู้การมาของเทพบุตรเหล่านั้นด้วยประการ
ฉะนี้ ด้วยเหตุนั้นธรรมิกอุบาสกจึงกล่าวว่า อคจฺฉิ เต สนฺติเก นาคราชา
ฯเปฯ โส จาปิ สุตฺวาน ปตีตรูโป
พญาช้างได้ไปในสำนักของพระองค์
ฯลฯ พญาช้างนั้นได้ฟังแล้วก็ซ้องสาธุการชื่นชม.

บัดนี้ธรรมิกอุบาสกเมื่อจะสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เลอเลิศขึ้น
ไปกว่าสมณพราหมณ์ ที่โลกสมมติในภายนอกศาสนานี้ จึงกล่าวสองคาถาว่า
เย เกจิเม ดังนี้เป็นต้น.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ติตฺถิยา ได้แก่ ชนทั้งหลายผู้เกิดในลัทธินอก
พระศาสนาซึ่งเจ้าลัทธิ 3 คือ นันทะ วัจฉะและสังกิจฉะเป็นผู้ตั้งขึ้น ศาสดาทั้ง
6 มีปูรณกัสสปเป็นต้นบวชแล้วในศาสนาของเจ้าลัทธิเหล่านั้น ในศาสดาทั้ง 6
นั้น นิครนถ์นาฎบุตร อาชีวกนอกนั้น ธรรมิกอุบาสก เมื่อจะแสดงถึงคนทั้ง
หมดเหล่านั้น จึงกล่าวว่า เย เกจิเม วาทสีลา แปลว่า บุคคลเหล่าใดเหล่า
หนึ่งผู้มีปกติกระทำวาทะ ดังนี้. พวกเจ้าลัทธิมีปรกติทำวาทะอย่างนี้ว่า เรา
เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ผู้อื่น ปฏิบัติผิด เที่ยวพูดทิ่มแทงชาวโลกด้วยหอกคือปาก.
บทว่า อาชีวกา วา ได้แก่ ธรรมิกอุบาสกแสดงทำลายทิฏฐิที่ตนยกขึ้นแสดง
รวมกันของบุคคลเหล่านั้น.
บทว่า นาติตรนฺติ คือไม่เดิน. บทว่า สพฺเพ ความว่าธรรมิก-
อุบาสกกล่าวรวมถึงสาวกเดียรถีย์เป็นต้นเหล่าอื่นด้วย. บทว่า ฐิโต วชนฺตํ
วิย
ความว่า เหมือนคนอ่อนแอยืนอยู่กับที่ไม่พึงเกินคนเดินเร็ว ซึ่งกำลังเดิน
อยู่ได้ฉันใด ชนทั้งหลายเหล่านั้นเพราะไม่มีคติคือปัญญาหยุดอยู่ ไม่สามารถจะ
รู้ประเภทของเนื้อความนั้นๆ ได้ ย่อมไม่เกินพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระปัญญา
ไว้ยิ่งนักฉันนั้น.
บทว่า พฺราหฺมณา วาทสีลา วุฑฺฒา วา ธรรมิกอุบาสกแสดงถึง
จังกีพราหมณ์ ตารุกขพราหมณ์ โปกขรสาติพราหมณ์ ชาณุสโสณิพราหมณ์
เป็นต้น ด้วยคำเพียงเท่านี้. ด้วยบทนี้ว่า อปิ พฺราหฺมณา สนฺติ เกจิ ได้
แก่ พวกพราหมณ์กลางคนบ้าง หนุ่มบ้างอย่างเดียวมีอยู่. ธรรมิกอุบาสก แสดง

ถึง อัสสลายนมาณพ วาสิฎฐมาณพ อันพัฏฐมาณพ และอุตตรมาณพเป็นต้น
ด้วยบทว่า เกจิ. บทว่า อตฺถพทฺธา ได้แก่ชนทั้งหลายเป็นผู้เนื่องด้วยประโยชน์
คือเป็นผู้ผูกพันด้วยประโยชน์อย่างที่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พึงพยากรณ์ปัญหา
นี้ คือแก้ความสงสัยนี้ได้บ้างไหมหนอ. บทว่า เย จาปิ อญฺเญ ธรรมิกอุบาสก
แสดงว่าชนเหล่าใดแม้อื่นเที่ยวสำคัญอยู่อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีวาทะ ชนเหล่า
นั้นทั้งหมดนับไม่ถ้วนมีกษัตริย์ บัณฑิต พราหมณ์ พรหม เทวดา และยักษ์
เป็นต้น เป็นผู้เนื่องด้วยประโยชน์ในพระองค์.
ธรรมิกอุบาสก สรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยประการต่าง ๆ อย่าง
นี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะสรรเสริญพระองค์โดยธรรม จึงวิงวอนขอธรรมกถา กล่าว
สองคาถาว่า อยญฺหิ ธมฺโม ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า อยญฺหิ ธมฺโม ธรรมิกอุบาสก กล่าวหมายถึง
โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ. บทว่า นิปุโณ ได้แก่ ธรรมที่ละเอียดคือ
ตรัสรู้ได้ยาก. บทว่า สุโข คือเป็นธรรมที่เข้าใจได้ตลอด นำโลกุตรสุขมา
ให้ เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า สุโข เพราะนำความสุขมาให้. บทว่า สุปฺปวุตฺโต
คือ อันพระองค์ตรัสดีแล้ว. บทว่า สุสฺสูสมานา ความว่า พวกข้าพระองค์
ประสงค์จะฟัง. บทว่า ตํ โน วท ได้แก่ ขอพระองค์ตรัสบอกความข้อนั้นแก่
ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด. บาลีว่า ตฺวํ โน บ้าง ความว่า ขอพระองค์จงตรัส
แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด. บทว่า สพฺเพปิเม ภิกฺขโว ความว่า นัยว่า
ในขณะนั้นภิกษุ 500 รูป นั่งอยู่แล้ว. ธรรมิกอุบาสิก เมื่อจะแสดงถึงภิกษุ
500 รูป เหล่านั้น จึงทูลวิงวอน. บทว่า อุปาสกา จาปิ ความว่า ธรรมิก-
อุบาสกแสดงถึงบริวารของตนและคนอื่น ๆ. บทที่เหลือในที่นี้ชัดเจนแล้ว.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงปฏิปทาของนักบวช
ก่อน ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วจึงตรัสคำมีอาทิว่า สุณาถ เม ภิกฺขเว
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังเราดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ธุตํ ตญฺจ จรถ สพฺเพ ความว่า
ธรรมชื่อว่า ธุตะ เพราะกำจัดกิเลสทั้งหลาย เราจะยังเธอทั้งหลายให้ฟังธรรม
ปฏิบัติอันกำจัดกิเลสเห็นปานนี้ และเธอทั้งปวงจงประพฤติคือปฏิบัติธรรมที่เรา
ประกาศแล้ว อธิบายว่า พวกเธออย่าประมาท ดังนี้. บทว่า อิริยาปถํ ได้แก่
อิริยาบถ 4 มีการเดินเป็นต้น. บทว่า ปพฺพชิตานุโลมิกํ ได้แก่ อิริยาบถ
อันสมควรแก่สมณะ คือ ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ. อาจารย์อีกพวกหนึ่ง
กล่าวว่า อิริยาบถอันเป็นไปด้วยการบำเพ็ญกรรมฐานในป่า. บทว่า เสเวถ นํ
คือพึงเสพอิริยาบถนั้น. บทว่า อตฺถทสฺสี คือ ผู้เป็นประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า
มติมา คือมีความคิด. บทที่เหลือปรากฏชัดแล้วในคาถานี้.
บทว่า โน เว วิกาเล ความว่า ภิกษุเสพอิริยาบถสมควรแก่
บรรพชิตอย่างนี้ ไม่ควรเที่ยวไปในเวลาวิกาล หมายถึงเลยเที่ยงวันไป แต่
ควรเที่ยวไปเพื่อบิณฑบาตในบ้านในกาลอันสมควร. บทว่า อกาลจารึ หิ
สชนฺติ สงฺคา
ความว่า ธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งหลายไม่น้อยมีข้องด้วยราคะ
เป็นต้น ย่อมข้อง คือเกี่ยวข้อง เข้าไปจับ ติดบุคคลผู้เที่ยวไปในกาลอันไม่
สมควร. เพราะเหตุนั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อมไม่เที่ยวไปในเวลาวิกาล ฉะนั้น
พระอริยบุคคลผู้ตรัสรู้อริยสัจ 4 ย่อมไม่เที่ยวบิณฑบาตในเวลาวิกาล. นัยว่า
สมัยนั้นยังมิได้บัญญัติวิกาลโภชนสิกขาบท. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

เมื่อจะทรงแสดงโทษของปุถุชนทั้งหลายในข้อนี้ด้วยธรรมเทศนา จึงตรัสคาถา
นี้. แต่พระอริยะทั้งหลายเป็นผู้เว้นจากการเที่ยวไปในเวลาวิกาลนั้นพร้อมกับ
การได้มรรคทีเดียว. นี้เป็นธรรมดา.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงห้ามการเที่ยวไปในเวลาวิกาลอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะทรงแสดงว่า แม้ภิกษุเที่ยวไปในกาล ก็ควรประพฤติอย่างนี้ ดังนี้ จึง
ตรัสว่า รูปา จ สทฺทา จ ดังนี้.
คาถานั้นมีอธิบายดังนี้ รูปเป็นต้นเหล่าใดยังความมัวเมามีประการ
ต่าง ๆ ให้เกิด ยังสัตว์ทั้งหลายให้มัวเมา ภิกษุพึงกำจัดเสียซึ่งความพอใจใน
รูปเป็นต้นเหล่านั้น โดยนัยที่กล่าวแล้วในปิณฑจาริตปาริสุทธิสูตร1เป็นต้น
พึงเข้าไปบริโภคอาหารในเวลาเช้า โดยกาลอันสมควร. อนึ่ง ชื่อว่า ปาตราโส
เพราะพึงบริโภคในเวลาเช้า บทนี้เป็นชื่อของบิณฑบาต. ในบทนี้ท่านกล่าว
ไว้ว่า ภิกษุนั้นได้บิณฑบาตในถิ่นใด แม้ถิ่นนั้นก็ชื่อว่า ปาตราสะ เพราะความ
ขวนขวายนั้น. ในบทนี้พึงทราบอธิบายอย่างนี้ว่า ภิกษุพึงเข้าไปยังโอกาสที่จะ
ได้บิณฑบาต.
บทว่า เอวํ ปวิฏฺโฐ ปิณฺฑญฺจ ภิกฺขุ ฯเปฯ สงฺคหิตฺตภาโว
ความว่า อนึ่งภิกษุได้บิณฑบาตแล้วตามสมัย พึงกลับไปนั่งในที่สงัดแต่ผู้เดียว
ฯลฯ ภิกษุผู้สงเคราะห์อัตภาพแล้ว.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ปิณฺฑํ ได้แก่ภิกษามีภัตปนกัน. ภิกษานั้นท่าน
เรียกว่า ปิณฑะ เพราะอรรถว่าสำรวมจากของนั้น ๆ แล้วนำมาคลุกกัน. บทว่า
สมเยน ได้แก่ ภายในเที่ยงวัน. บทว่า เอโก ปฏิกฺกมฺม คือให้เกิดกายวิเวก
กลับไปนั่งไม่มีเพื่อน. บทว่า อชฺฌตฺตจินฺตี ได้แก่ คิดถึงขันธสันดานยกขึ้น
1. บาลีเป็น ปิณฑปาตปาริสุทธิสูตร ม. อุปริ. 14/ ข้อ 837.

สู่พระไตรลักษณ์. บทว่า น มโน พหิทฺธา นิจฺฉารเย ไม่พึงส่งใจไปใน
ภายนอก ความว่า ไม่พึงนำจิตไปในรูปเป็นต้นในภายนอก ด้วยอำนาจกิเลส
มีราคะเป็นต้น. บทว่า สงฺคหิตตฺตภาโว ได้แก่มีจิตยึดมั่นไว้ด้วยดี.
บทว่า เอวํ วิหรนฺโต จ สเจปิ โส ฯเปฯ ปรูปวาทํ ความว่า
หากภิกษุนั้นอยู่อย่างนี้พึงเจรจากับสาวกอื่น หรือกับภิกษุไร ๆ ภิกษุนั้นพึง
กล่าวธรรมอันประณีต ไม่พึงกล่าวคำส่อเสียด ทั้งไม่พึงกล่าวคำติเตียนผู้อื่น.
ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายว่า พระโยคาวจรนั้นหากพึงเจรจากับสาวก
ผู้เข้าไปหาเพื่อประสงค์จะฟังอะไร ๆ ก็ดี กับคฤหัสถ์ผู้เป็นอัญญเดียรดีย์ไร ๆ
ก็ดี กับภิกษุผู้บวชแล้วในศาสนานี้ก็ดี. พึงกล่าวธรรมอันประณีต ไม่ทำให้เขา
เดือดร้อน ประกอบด้วยมรรคผลเป็นต้น หรือกถาวัตถุ 10 ไม่พึงกล่าวคำส่อ
เสียดอื่น ๆ หรือกล่าวคำติเตียนผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงโทษในการกล่าวคำติเตียน
ผู้อื่นนั้น จึงตรัสว่า วาทญฺหิ เอเก บุคคลบางพวกย่อมประถ้อยคำกัน ดังนี้.
บทนั้น มีอธิบายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โมฆบุรุษบางพวก
ในโลกนี้ย่อมประ คือ โต้วาทะอันเป็นถ้อยคำทำให้เกิดวิวาทกันนานาประการ
ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นคำติเตียนผู้อื่น ต้องการจะต่อสู้กัน ดุจประจัญหน้ากับนักรบ
เราไม่สรรเสริญบุคคลเหล่านั้นผู้มีปัญญาทราม เพราะเหตุใด เพราะความ
เกี่ยวข้องทั้งหลายย่อมข้องบุคคลเหล่านั้น เพราะถ้อยคำนั้น ๆ คือ ความ
เกี่ยวข้องด้วยการวิวาทเกิดขึ้นจากคลองแห่งคำนั้น ๆ ย่อมต้องคือติดแน่นบุคคล
เช่นนั้นไว้ เพราะคนเหล่านั้นเมื่อประคารมกัน ย่อมส่งจิตไปในคารมนั้น จิต
ย่อมไปไกลจากสมถะและวิปัสสนา ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงถึงความเป็นไปของผู้มีปัญญาน้อย
แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงถึงความเป็นไปของผู้มีปัญญามากจึงตรัสว่า ปิณฺฑํ
วิหารํ ฯเปฯ วรปญฺญสาวโก
ความว่า สาวกผู้มีปัญญาดี ฟังธรรมที่
พระสุคตแสดงแล้ว พิจารณาบิณฑบาต ที่อยู่ ที่นอน ที่นั่ง น้ำ และการซักผ้า
สังฆาฏิแล้วพึงเสพ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น ท่านกล่าวถึงเสนาสนะอย่างเดียวด้วยสามบท คือ ด้วย
วิหารคือที่อยู่ ด้วยที่นอนคือเตียง ด้วยที่นั่งคือตั่ง. บทว่า อาปํ คือน้ำ.
บทว่า สงฺฆาฏิรชูปวาหนํ ได้แก่ ซักธุลีผ้าสังฆาฏิมีฝุ่นและมลทินเป็นต้น.
บทว่า สุตฺวาน ธมฺมํ สุคเตน เทสิตํ ความว่า ฟังธรรมที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ในการสังวรอาสวะทั้งปวงเป็นต้น ภิกษุ
พิจารณาโดยแยบคาย เสพจีวรเพื่อกำจัดความหนาว. บทว่า สงฺขาย เสเว
วรปญฺญาสาวโก
สาวกผู้มีปัญญาดีพิจารณาแล้วพึงเสพ ความว่า สาวกผู้มี
ปัญญา พิจารณาปัจจัยแม้ 4 อย่างคือ บิณฑบาตที่ท่านกล่าวว่า บิณฑะใน
ที่นี้ 1 เสนาสนะที่ท่านกล่าวด้วยวิหารศัพท์เป็นต้น 1 คิลานปัจจัย ที่ท่านแสดง
ด้วยอาปศัพท์ 1 จีวร ที่ท่านกล่าว ด้วยสังฆาฎิศัพท์ 1 คือ พิจารณาโดยนัยมี
อาทิว่า ยาวเทว อิมสฺส กายสฺส ฐิติยา เพียงเพื่อดำรงอยู่แห่งกายนี้
เท่านั้นแล้วพึงเสพ. สาวกของพระตถาคตผู้มีปัญญาดี ทั้งที่เป็นเสกขะ. ทั้งที่
เป็นปุถุชน ทั้งที่เป็นพระอรหันต์โดยตรง พึงสามารถเสพได้. จริงอยู่ ท่าน
กล่าวถึง อปัสเสนธรรม คือธรรมเป็นที่พึ่งพิง 4 อย่าง คือ พิจารณาแล้ว
จึงเสพ 1 พิจารณาแล้วจึงอาศัย 1 พิจารณาแล้วจึงเว้น 1 พิจารณาแล้วจึง

บรรเทา 1. เพราะสาวกผู้มีปัญญาดีพิจารณาแล้วพึงเสพ ฉะนั้นแล พึงทราบว่า
ภิกษุไม่ติดแล้วในธรรมเหล่านี้ คือ บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง น้ำ และการซัก
มลทินผ้าสังฆาฎิ เหมือนหยาดน้ำไม่ติดบนใบบัว ฉะนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงข้อปฏิบัติของพระขีณาสพอย่างนี้ ยัง
การปฏิบัติของนักบวชให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัตแล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรง
แสดงข้อปฏิบัติของคฤหัสถ์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า คหฏฺฐวตฺตํ ปน โว เรา
จะบอกวัตรแห่งคฤหัสถ์แก่เธอทั้งหลาย ดังนี้.
ในคาถาเหล่านั้นพึงทราบวินิจฉัยในคาถาต้นก่อน. บทว่า สาวโก
ได้แก่ สาวกผู้ครองเรือน. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น. แต่โยชนาแก้ว่า สาวก
ไม่พึงได้เพื่อจะถูกต้อง คือ ไม่อาจเพื่อบรรลุธรรมของภิกษุที่เรา (ตถาคต)
กล่าวไว้ก่อนจากนี้ล้วน คือ ไม่มีอามิส บริบูรณ์สิ้นเชิงด้วยอาการที่มีความหวง-
แหน ด้วยความหวงนาและไร่เป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธธรรมของภิกษุแก่สาวกผู้ครองเรือนนั้น
เมื่อจะทรงแสดงธรรมของคฤหัสถ์เท่านั้น จึงตรัสว่า ปาณํ น หเน ไม่พึง
ฆ่าสัตว์ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ท่านกล่าวการเว้นจากการ
ฆ่าสัตว์ อันเป็นความบริสุทธิ์ชั้นยอดด้วยกึ่งคาถาต้น การปฏิบัติประโยชน์เกื้อ-
กูลในสัตว์ทั้งหลายด้วยกึ่งคาถาหลัง. ท่านพรรณนาบทที่ 3 ไว้ในขัคควิสาณ-
สูตรในสุตตนิบาตนี้ ในบาทที่ 4 ท่านพรรณนาประเภทของสัตว์ที่มั่นคงและที่
สะดุ้งไว้ในอรรถกถาเมตตสูตรครบทุกประการ. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.

พึงประกอบนอกลำดับว่า สาวกผู้ครองเรือนวางอาชญาในหมู่สัตว์ทั้งที่มั่นคง
ทั้งที่หวาดสะดุ้ง ไม่พึงฆ่าเอง ไม่พึงใช้ให้ผู้อื่นฆ่า และไม่พึงอนุญาตให้ผู้อื่น.
ฆ่า. อีกอย่างหนึ่ง นอกจากบทว่า นิธาย ทณฺฑํ นี้ ควรนำปาฐะที่เหลือมา
ใช้ว่า วตฺเตยฺย พึงเป็นไป ดังนี้. นอกจากนี้ไม่ควรเชื่อมบทหลังด้วยบทต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงสิกขาบทต้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อ
จะทรงแสดงสิกขาบทที่สอง จึงตรัสว่า ตโต อทินฺนํ พึงเว้นจากสิ่งที่เขาไม่ให้
อะไร ๆ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้นบทว่า กิญฺจิ คือ ของน้อยก็ดี ของมากก็ดี. บทว่า
กฺจจิ คือ ในบ้านก็ดี ในป่าก็ดี. บทว่า สาวโก ได้แก่สาวกผู้ครองเรือน.
บทว่า พุชฺฌมาโน คือรู้อยู่ว่านี้เป็นของของคนอื่น. บทว่า สพฺพํ อทินฺนํ
ปริวชฺเชยฺย
คือ เมื่อเว้นอยู่อย่างนี้พึงเว้นสิ่งทั้งหมดที่เขาไม่ให้ ท่านชี้แจงว่า
ไม่เว้นโดยวิธีอย่างอื่น. บทที่เหลือในข้อนี้มีนัยดังกล่าวแล้ว และปรากฏชัด
แล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงแม้สิกขาบทที่สองชัดเจนดีแล้ว
อย่างนี้ เมื่อจะทรงแสดงสิกขาบทที่สามตั้งข้อกำหนดให้ยิ่งขึ้นไป จึงตรัสว่า
อพฺรหฺมจริยํ พึงเว้นอพรหมจรรย์ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อสมฺภุณนฺโต คือ ไม่สามารถ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงสิกขาบทที่สี่ จึงตรัสว่า
สภคฺคโต วา คืออยู่ในที่ประชุมเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สภคฺ-
คโต
ได้แก่ ไปสู่สันถาคารเป็นต้น. บทว่า ปริสคฺคโต คืออยู่ในท่ามกลาง
ประชุมชน. บทที่เหลือในข้อนี้มีนัยดังกล่าวแล้ว และปรากฏชัดแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงแม้สิกขาบทที่สี่ชัดเจนดีแล้ว เมื่อ
จะทรงแสดงสิกขาบทที่ห้า จึงตรัสว่า มชฺชญฺจ ปานํ พึงเว้นการดื่มน้ำเมา
ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มชฺชญฺจ ปานํ ท่านกล่าวอย่างนี้เพื่อสะดวก
ในการแต่คาถา. แต่มีใจความ มชฺชปานญฺจ สมาจเรยฺย ไม่พึงดื่มน้ำเมา.
บทว่า ธมฺมํ อิทํ ได้แก่ ธรรมคือเว้นจากการดื่มน้ำเมา. บทว่า อุมฺมาทนนฺตํ
คือการดื่มน้ำเมานั้นมีความบ้าเป็นที่สุด. เพราะว่า ผลของการดื่มน้ำเมาอย่าง
เบาเมื่อเป็นมนุษย์ ก็เป็นบ้า. บทว่า อิติ นํ วิทิตฺวา คือรู้ชัดการดื่มน้ำเมานั้น.
บทที่เหลือในข้อนี้มีนัยดังกล่าวแล้ว และปรากฏชัดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแม้สิกขาบทที่ห้าให้บริสุทธิ์ที่ชัดเจนอย่างนี้
แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงการดื่มน้ำเมาแห่งสิกขาบทก่อนว่าเป็นการทำ
ความเศร้าหมองและก่อเวร ทรงชักชวนในการเว้นจากการดื่มน้ำเมานั้นให้
มั่นคงยิ่งขึ้นจึงตรัสว่า มทา หิ ปาปานิ กโรนฺติ เพราะคนพาลทั้งหลาย
ย่อมกระทำบาป เพราะความเมาดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มทา คือเพราะเหตุแห่งความเมา. หิ เป็น
นิบาตเพียงทำบทให้เต็ม. บทว่า อุมฺมาทนํ โมหนํ ได้แก่ ความบ้าในโลก
หน้า ความหลงในโลกนี้. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงนิจศีลของสาวกผู้ครองเรือนด้วย
เหตุเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงองค์แห่งอุโบสถ จึงตรัสสองคาถาว่า
ปาณํ น หเน บุคคลไม่พึงฆ่าสัตว์ ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อพฺรหฺมจริยา ได้แก่ ประพฤติธรรมไม่ประ-
เสริฐ. บทว่า เมถุนา คือพึงเว้นจากการเข้าถึงเมถุนธรรม. บทว่า รตฺตึ น
ภุญฺเชยฺย วิกาลโภชนํ
ได้แก่ ไม่พึงบริโภคแม้ในกลางคืน ไม่พึงบริโภค
โภชนะล่วงกาลแม้ในกลางวัน. แม้แป้งสำหรับลูบไล้ พึงทราบว่า ท่านถือเอา
ด้วยคันธศัพท์ในบทว่า น จ คนฺธํ นี้. บทว่า มญฺเจ คือเตียงที่เป็นกัปปิยะ.
บทว่า สนฺถเต ได้แก่ บนพื้นที่เขาลาดแล้วด้วยเครื่องลาดอันเป็นกัปปิยะ มีเสื่อ
ผืนเล็กเป็นต้น. แม้ลาดด้วยเครื่องลาดมีพรมทำด้วยขนแกะเป็นต้นบนแผ่นดิน
ก็ควร. บทว่า อฏฺฐงฺคิกํ คือไม่พ้นองค์ 8 ดุจดนตรีมีองค์ 5. บทว่า
ทุกฺขนฺตคุนา คือพระพุทธเจ้าผู้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในวัฏฏะ. บทที่เหลือในข้อ
นี้ปรากฏชัดดีแล้ว. พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า ก็กึ่งคาถาหลัง พระสังคีติกา-
จารย์กล่าวไว้แล้วบ้าง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงองค์แห่งอุโบสถอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะทรงแสดงกาลแห่งอุโบสถ จึงตรัส ว่า ตโต จ ปกฺขสฺส ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตโต เป็นนิบาตเพียงทำบทให้บริบูรณ์. พึง
ประกอบด้วยบทอื่นอย่างนี้ว่า ปกฺขสสุปวสฺสุโปสถํ ความว่า พึงเข้าจำอุโบสถ
ทุก 3 วันเหล่านี้คือ ตลอด 14 ค่ำ 15 ค่ำ และ 8 ค่ำแห่งปักษ์ พึงเข้าจำ
อุโบสถประกอบด้วยองค์ 8 นี้แล. ก็ในบทว่า ปาฏิหาริกปกฺขญฺจ นี้ ห้า
เดือนเหล่านี้คือ (อาสาฬหะ) เดือน 8 ต้นใกล้วันเข้าพรรษา สามเดือนในพรรษา
และเดือน 12 ท่านเรียกว่าปาฏิหาริยปักษ์. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่าปาฏิหาริย.
ปักษ์ มีสามเดือนเท่านั้นคือเดือน 8 เดือน 12 และเดือน 4, อาจารย์อีกพวก
หนึ่งกล่าวว่ามี 4 วัน คือ 13 ค่ำ 1 ค า 7 ค่ำ และ 9 ค่ำในทุก ๆ ปักษ์ โดย

วันก่อนและวันหลัง ของวันอุโบสถแห่งปักษ์. ชอบอย่างใดก็พึงถือเอาอย่างนั้น
อันผู้ใคร่บุญพึงทำได้ทุกอย่าง. พึงผูกใจไว้ว่า ผู้มีใจเลื่อมใสปฏิหาริยปักษ์นี้
ด้วยประการฉะนี้ ไม่เว้นแม้แต่วันเดียว เข้าถึงองค์ 8 ทำให้สมบูรณ์ด้วยดี
บริบูรณ์ด้วยดี พึงเข้าจำอุโบสถอันประกอบด้วยองค์ 8.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกาลแห่งอุโบสถอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะทรงแสดงถึงกิจ ที่ผู้เข้าจำอุโบสถนั้นในกาลเหล่านั้นควรกระทำ จึงตรัส
ว่า ตโต จ ปาโต ดังนี้.
บทว่า ตโต แม้ในบทนี้ก็เป็นนิบาตเพียงทำบทให้เต็ม. หรือลงใน
อรรถไม่มีระหว่าง ท่านอธิบายว่า ได้แก่ อถ แปลว่าครั้งนั้น. บทว่า ปาโต
ได้แก่ ส่วนเบื้องต้นของวันอื่น. บทว่า อุปวุฏฺฐุโปสโถ ได้แก่ เข้าจำอุโบสถ.
บทว่า อนฺเนน ได้แก่ข้าวยาคูและภัตรเป็นต้น . บทว่า ปาเนน คือ น้ำปานะ
8 อย่าง. บทว่า อนุโมทมาโน ได้แก่ ชื่นชมยินดีอยู่เนือง ๆ อธิบายว่า
ชื่นชมตลอดกาล. บทว่า ยถารหํ คือสมควรแก่ตน ท่านอธิบายว่า ตาม
ความสามารถ ตามกำลัง. บทว่า สํวิภเชถ คือพึงแจกจ่าย คือพึงบูชา. บท
ที่เหลือปรากฏชัดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงกิจของผู้เข้าจำอุโบสถอย่างนี้แล้ว บัดนี้
ตรัสถึงครุวัตร (การเคารพ) และอาชีวปาริสุทธิศีล เมื่อจะทรงแสดงถึงฐานะ
ที่ควรถึงด้วยปฏิปทานั้น จึงตรัสว่า ธมฺเมน มาตาปิตโร พึงเลี้ยงมารดาบิดา
โดยธรรม ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ด้วยโภคสมบัติที่ได้มาโดยชอบ
ธรรม. บทว่า ภเรยฺย ได้แก่ พึงเลี้ยง. บทว่า ธมฺมิกํโส วณิชฺชํ พึงประ
กอบการค้าขายอันชอบธรรมดังนี้ คือ เว้นการค้าอันไม่เป็นธรรม 5 อย่าง

เหล่านี้คือ ค้าสัตว์เป็น 1 ค้าศัสตรา 1 ค้าเนื้อสัตว์ 1 ค้าสุรา 1 ค้ายาพิษ 1
ค้าขายสิ่งอันเป็นธรรมที่เหลือ. ก็โดยหลักของการค้าในที่นี้ ท่านมุ่งถึงการค้าที่
เป็นธรรมแม้อื่น เช่นกสิกรรมและโครักขกรรม. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
แต่โยชนาแก้ว่า อริยสาวกใดประกอบด้วยธรรมคือนิจศีล อุโบสถศีลและทาน
พึงประกอบการค้าอันชอบธรรม เลี้ยงดูมารดาบิดา ด้วยโภคสมบัติอันได้มาโดย
ธรรม เพราะได้มาจากการค้าอันไม่ปราศจากธรรม ครั้นอริยสาวกผู้เป็นคฤหัสถ์
ไม่ประมาทแล้วอย่างนี้ บำเพ็ญวัตรนี้ดังที่กล่าวไว้แล้วตั้งแต่ต้นเมื่อกายแตกดับ
ผู้ใดกำจัดความมืดด้วยรัศมีของตน เป็นเทพชั้นกามาพจร 6 ชั้นมีชื่อว่า
สยัมปภา เพราะทำแสงสว่าง ผู้นั้นย่อมเข้าถึง คือย่อมคบ ย่อมติดต่อเทวดา
ชื่อว่า สยัมปภา ย่อมบังเกิดในที่ที่เทวดาเหล่านั้นเกิด ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาธรรมิกสูตรที่ 14 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา
จบวรรคที่ 2 ชื่อจูฬวรรค แห่งอรรถกถาสุตตนิบาต
ชื่อปรมัตถโชติกา

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้คือ
1. รัตนสูตร 2. อามคันธสูตร 3. หิริสูตร 4. มงคลสูตร
5. สูจิโลมสูตร 6. ธรรมจริยสูตร 7. พราหมณธรรมิกสูตร 8. นาวา
สูตร 9. กิงสีลสูตร 10. อุฏฐานสูตร 11. ราหุลสูตร 12. วังคีสสูตร
13. สัมมาปริพพาชนิยสูตร 14. ธรรมิกสูตร.
ท่านผู้รู้ทั้งหลายกล่าวพระสูตร 14 สูตรว่าจูฬวรรคแล.

มหาวรรคที่ 3


ปัพพชาสูตรที่ 1


ว่าด้วยการสรรเสริญบรรพชา


[354] ข้าพเจ้าจักสรรเสริญบรรพชา
อย่างที่พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงบรรพชา
ข้าพเจ้าจักสรรเสริญบรรพชา อย่างที่พระ-
พุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงไตร่ตรองอยู่ จึง
ทรงพอพระทัยบรรพชาด้วยดี.
พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่า ฆราวาสนี้
คับแคบ เป็นบ่อเกิดแห่งธุลี และทรงเห็น
ว่า บรรพชาปลอดโปร่ง จึงทรงบรรพชา.
พระพุทธเจ้าครั้นทรงบรรพชาแล้ว
ทรงเว้นบาปกรรม ทางกาย ทรงละวจีทุจริต
ทรงชำระอาชีพให้หมดจด.
พระพุทธเจ้า มีพระลักษณะอัน
ประเสริฐมากมาย ได้เสด็จถึงกรุงราชคฤห์
เสด็จเที่ยวไปยังคิริพชนคร แคว้นมคธ เพื่อ
บิณฑบาต.